เชื่อว่าทุกบ้านจะต้องมีอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่าง รางปลั๊กไฟหรือปลั๊กพ่วง แต่หลายคนอาจยังรู้วิธีเลือกปลั๊กไฟที่ถูกต้อง เพราะการจะซื้อปลั๊กพ่วงมาใช้งานในบ้านทั้งที ควรเลือกให้ได้มาตรฐานและเหมาะสมกับการใช้งาน เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความสำคัญในการเชื่อมต่อกระแสไฟจากเต้าไฟหลักมากระจายสู่จุดต่าง ๆ ตามต้องการ หากเลือกไม่ดีอาจเป็นสาเหตุของไฟไหม้ได้เลยทีเดียว
ปลั๊กพ่วง ที่มีคุณภาพ ต้องมีเครื่องหมาย มอก.
โดยทั่วไปแล้ว ปลั๊กพ่วงมาตรฐาน ต้องมีเครื่องหมาย มอก. หรือก็คือ เครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกำกับอยู่ทุกยี่ห้อ ซึ่งมาตรฐานเดิมของ มอก. ยังคงสามารถใช้ฟิวส์ได้ แต่ตามมาตรฐานปัจจุบัน ต้องเป็น มอก. 2432 – 2555 ที่บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมานั้น จะไม่สามารถใช้ฟิวส์ได้อีก สำหรับสาเหตุหลัก ๆ ที่มีการยกเลิก มอก. เก่า ส่วนหนึ่งก็มีเหตุผลมาจากการเกิดไฟไหม้แล้วฟิวส์ไม่ตัดไฟ จึงให้หันมาใช้เซอร์กิตสวิตช์ หรือเซอร์กิตเบรกเกอร์แทนเท่านั้น นอกจากมาตรฐานของ มอก. แล้ว ยังสามารถเลือกซื้อรุ่นที่มีการรับรองตามมาตรฐานสากลได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น สัญลักษณ์ CD, TUV, CQC และ CCC นอกเหนือจากการสังเกตมาตรฐาน มอก. ใหม่ 2561 สิ่งที่ต้องสังเกตเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ปลั๊กที่มีมาตรฐาน ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ พ่วงด้วย ไม่ว่าจะเป็น
ปลั๊กพ่วง ต้องไม่ยาวมากเกินไป และหุ้มฉนวน 2 ชั้น
อีกหนึ่งเทคนิคของการเลือกซื้อ รางปลั๊กไฟ ให้ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ เหมาะสมกับการใช้งาน ต้องเลือกปลั๊กที่มีความยาวพอดี เพราะเชื่อว่าหลาย ๆ บ้าน ก็อยากจะซื้อปลั๊กที่ใช้งานได้หลายระยะ ทั้งใกล้และไกล เพราะฉะนั้น ถ้าเลือกซื้อปลั๊กที่มีความยาวมาก ๆ แต่ต้องใช้ในระยะใกล้ ๆ ก็ต้องคอยม้วนสายไฟทุกครั้ง สายไฟต้องมากองอยู่รวมกัน ซึ่งนอกจากจะเกะกะแล้วยังอาจสะดุดล้มได้ง่ายอีกต่างหาก นอกจากนี้ ตัวสายไฟจะต้องหุ้มฉนวน 2 ชั้น แรงดันไฟฟ้าไม่ควรเกิน 440V และกระแสไฟฟ้าไม่ควรเกิน 16 A ตัวรางควรเลือกรุ่นที่ผลิตจากพลาสติก AVC มากกว่ารุ่นที่ผลิตจากพลาสติก PVC เพราะจะมีความเนียนและทนความร้อนได้ดีกว่า
วัสดุของเต้ารับจะต้องไม่ลามไฟ
สำหรับการเลือก รางปลั๊กพ่วง ที่ดี ให้ลองสังเกตดูก่อนว่าวัสดุของเต้ารับผลิตจากอะไร ควรเลือกเต้ารับที่ผลิตจากวัสดุที่ไม่ลามไฟหรือติดไฟ มีคุณภาพสูง สามารถทนความร้อนได้ดี เรียกง่าย ๆ ว่า หากเกิดไฟช็อตหรือมีไฟลุกขึ้นที่ตัวปลั๊ก วัสดุทั้งหมดละลายเท่านั้น แต่จะไม่มีไฟลุกลาม นอกจากนี้ ตัวเต้ารับของ รางปลั๊กไฟ จะต้องมีการเดินสายและการระบุตำแหน่งของกระแสไฟฟ้า N L G ที่ถูกต้องเช่นกัน ในขณะที่ขั้ว Ground ของเต้ารับ ควรเป็นขั้วจริงและเป็นขั้วทองเหลือง ที่มีคุณสมบัติป้องกันไฟรั่ว
สายไฟต้องทนแรงดันไฟฟ้า
อีกหนึ่งข้อสำคัญของการเลือกซื้อ ปลั๊กพ่วงมาตรฐาน ที่ห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาดก็คือ ตัวสายไฟจะต้องทนต่อแรงดันไฟฟ้าได้ดี ไม่ต่ำกว่าของทั้งเต้ารับและเต้าเสียบ เพื่อป้องกันการกระชากของไฟ ที่อาจส่งผลเสียต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ ส่วนตัวเต้าเสียบของรางปลั๊กควรเลือกแบบสามขากลมแทนขาแบน ตามมาตรฐานของ มอก. มีฉนวนหุ้มที่ขาปลั๊ก เพื่อป้องกันการช็อตและไม่ให้นิ้วสัมผัสกับขาปลั๊กที่มีกระแสไฟฟ้า
รูต้องแน่น ไม่หลวม และไม่ขยับ
การเลือกซื้อรางปลั๊กพ่วงควรเลือกรุ่นที่ใช้แล้วมีความพอดี รูต้องแน่น ไม่ขยับหรือหลวม จะสังเกตได้เลยว่า หากเป็นรุ่นที่ไม่ได้มาตรฐาน มีราคาค่อนข้างถูก เมื่อเสียบไปได้ระยะหนึ่งแล้วรูหรือเต้ารับจะหลวมอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งแค่ไปขยับหรือโดนหัวปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ดับทันที ถ้าหากยังใช้งานต่อก็จะส่งผลเสียต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ นอกจากนี้ ก่อนซื้อให้ลองเขย่าก่อนทุกครั้ง เพื่อลองฟังเสียงข้างใน การตรวจเช็กด้วยวิธีนี้จะทำให้รู้ว่ามีชิ้นส่วนใดภายในหลุดหรือไม่ โดยเฉพาะตะกั่วบัดกรีที่หลุดออกมา หากซื้อมาใช้งานโดยไม่ตรวจสอบก่อนก็อาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดเพลิงไหม้ได้เลย
เลือกรุ่นที่มีฟีเจอร์เสริม เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
นอกเหนือจากองค์ประกอบหลัก ๆ ที่ HomeGuru อธิบายไปแล้วในข้างต้น การเลือก ปลั๊กพ่วง ที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ก็คือ การเลือกรุ่นที่มีฟีเจอร์หรือฟังก์ชันอื่น ๆ เสริมเข้ามา
1. สวิตช์เปิด-ปิด
รางปลั๊กพ่วงในปัจจุบันหลาย ๆ รุ่น จะมีสวิตช์เปิด-ปิด เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น ซึ่งข้อดีคือ จะช่วยป้องกันไม่ให้ไฟกระชากจากการถอดและการเสียบปลั๊ก ทำให้ไม่ต้องดึงปลั๊กออกทุกครั้ง และช่วยประหยัดไฟเมื่อไม่มีการใช้งานได้ดี โดยตัวสวิตช์เปิด-ปิด มีทั้งสวิตช์แบบรวมและสวิตช์ที่แยกตามเต้ารับ
2. ช่องเสียบ USB
ฟังก์ชันเสริมที่หลาย ๆ คน น่าจะชื่นชอบก็คือ ช่องเสียบ USB ที่หลาย ๆ รุ่น ก็เริ่มเพิ่มออปชั่นนี้เข้ามา ทำให้ใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าเล็ก ๆ อาทิ การชาร์จ Power Bank แต่หากต้องการชาร์จโทรศัพท์มือถือ ควรดูด้วยว่าเป็นรุ่นที่ต้องใช้เฉพาะหัวชาร์จของเครื่องเท่านั้นหรือไม่ เพราะจะได้ไม่ส่งผลเสียกับสุขภาพแบตเตอรี่ในภายหลัง แต่หากเป็นสาย USB Type-C จะไม่สามารถใช้กับช่องเสียบ USB ทั่ว ๆ ไปได้
3. ระบบป้องกันไฟกระชาก
ระบบป้องกันไฟกระชาก หรือ Surge Protector ข้อดีคือ จะช่วยป้องกันเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ดี โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าและไฟตก ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากมีระบบกราวด์หรือสายดิน เพราะระบบป้องกันไฟกระชากจะนำกระแสไฟถ่ายลงดินทันที ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบปลั๊กอยู่ปลอดภัย
4. ระบบตรวจจับความร้อน
อีกหนึ่งระบบที่ รางปลั๊กไฟ หลาย ๆ รุ่น เพิ่มเข้ามาก็คือ ระบบตรวจจับความร้อน ที่จะช่วยป้องกันปัญหาจากไฟฟ้าลัดวงจรได้ เพราะในบางครั้งไฟฟ้าลัดวงจรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อมีเศษฝุ่นสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก จนก่อให้เกิดประจุไฟฟ้าจนนำมาสู่ไฟฟ้าลัดวงจร
5. ช่อง Universal Socket
หากมีช่อง Universal จะเป็นการบอกว่า ปลั๊กพ่วง รุ่นนั้น ๆ สามารถใช้ร่วมกับปลั๊กไฟของประเทศไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น หัวกลม หัวแบน หัวสามขา ทำให้ไม่ต้องซื้อตัวแปลงปลั๊กไฟเพิ่มเติม